หน่อกล้วยหอมทอง ท่ายาง ขนาดใหญ่พิเศษ สายพันธุ์แท้ ผ่านการฆ่าเชื้อเป็นที่เรียบร้อย พร้อมปลูกได้ทันที
หน่อกล้วยหอมทอง ขนาดใหญ่พิเศษ
กล้วยหอมเป็นพืชที่ชอบอากาศร้อนชื้น เหมาะกับการปลูกในประเทศไทย ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 14 องศาเซลเซียส กล้วยจะชะงักการเจริญเติบโต หรือมีการเติบโตช้าลง รวมทั้งการออกดอกและติดผลจะช้าด้วย กล้วยหอมเป็นพืชที่มีแผ่นใบใหญ่ ไม่ค่อยทนต่อแรงลมใบ เมื่อใบต้านลมส่งผลทำให้ใบแตกได้ ถ้าหากใบแตกมากจะทำให้มีการสังเคราะห์อาหารได้น้อยทำให้ต้นไม่เจริญเติบโต ดังนั้นถ้าพื้นที่ที่มีลมแรงมากควรปลูกต้นไม้อื่นทำเป็นแนวกันลมให้ต้นกล้วยเพื่อช่วยลดการเข้าทำลายของเเรงลมเเละการหักโค่นของต้นได้มากขึ้น
วิธีการปลูกและการดูแล
1. การเตรียมดิน ทำการไถพรวนพร้อมตากดินประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อเป็นการพลิกดินเพื่อฆ่าเชื้อโรคภายในแปลงหากแปลงที่เคยปลูพืชอื่นมาก่อนเเล้วมีการระบาดของโรค ควรตากดินให้นานมากขึ้น เเละโรยปูนขาวเพื่อฆ่าเชื้อโรคภายในแปลง จากนั้นทำการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์เพื่อปรับสภาพความเป็นกรดด่างของดิน อัตรา 25-50 กิโลกรัมต่อไร่ พื้นที่ที่เหมาะสำหรับการปลูกกล้วย ควรปลูกในดินร่วนที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำและการหมุนเวียนอากาศดีถ้าเกษตรกรปลูกกล้วยในดินเป็นดินเหนียวควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะช่วยให้ดินร่วนโปร่งรากสามารถเเผ่กระจายเพื่อหาอาหารได้ดีมากขึ้น
2. การเตรียมหน่อพันธุ์ ควรเลือกใช้หน่อพันธุ์ที่จากต้นที่ไม่มีโรค เช่น โรคตายพราย หรือโรคใบจุด เพราะเชื้อจะเเพร่กระจายไปยังต้นอื่นได้ง่าย โดยการเลือกต้นพันธุ์ควรเป็นต้นที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหรือหน่อที่ดีเเละให้ผลผลิตสูงลักษณะต้นพันธุ์ที่จะนำมาปลูกควรเลือกใช้หน่อใบแคบ (ใบดาบ) หรือที่เรียกว่า“หูกวาง” ที่มีความสูง 50 เซนติเมตรมีใบ 2-3 ใบ ลักษรณะใบแคบยังไม่คลี่ออกเต็มที่คล้ายกับหูกวาง ก่อนปลูกใช้ปุ๋ยเกล็ด 2 ช้อนโต๊ะ เเละใช้ฮอร์โมนเร่งราก 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 50 ลิตร ละลายให้เข้ากันแล้วเอาหน่อกล้วยจุ่มลงไปก่อนนำไปปลูกจะทำให้กล้วยเเตกรากได้ดีขึ้น
3. การปลูก ระยะปลูกที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกล้วย คือ 2.5 X 3 เมตร หรือ 2.5 X 2.5 เมตร 2.2 จำนวนต้นต่อไร่ ประมาณ 200 - 250 ต้นต่อไร่ สามารถปลูกได้ในทุกช่วงฤดูเเต่ฤดูกาลที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกล้วยหอมคือ คช่วงต้นฤดูฝนเพราะดินจะมีความชื้น เพราะอาศัยน้ำในฤดูฝนได้ขุดหลุมให้มีขนาดความ กว้าง 50 เซนติเมตร ลึก 50 เซนติเมตร นำดินที่ขุดได้กองตากไว้ 5 - 7 วัน หลังจากนั้นเอาดินชั้นบนที่ตากไว้ลงไปก้นหลุม ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวแล้ว ให้สูงขึ้นมาประมาณ 20 เซนติเมตร คลุกเคล้าปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักกับดินชั้นบนที่ใส่ลงไป แล้วจึงเอาหน่อกล้วยที่เตรียมไว้ วางที่ตรงกลางหลุม เอาดินล่างกลบ รดน้ำ และกดดินให้แน่น ยอดของหน่อควรสูงกว่าระดับดินประมาณ 10 เซนติเมตร ควรหันรอยแผลของหน่อให้อยู่ในทิศทางเดียวกัน เพราะเมื่อโตเต็มที่และติดผล ผลจะเกิดในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับรอยแผล และอยู่ในทิศทางเดียวกัน เพื่อสะดวกในการทำงาน แต่หากเป็นต้นที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จะไม่มีทิศทางของรอยแผล ในการวางต้นจึงจำเป็นต้องมีทิศทาง ถ้าหากพื้นที่นั้นเป็นดินเหนียว ควรทำการยกร่อง จะได้ระบายน้ำ และปลูกบนสันร่องทั้ง 2 ข้าง และเพื่อให้การปฏิบัติงานทำได้ง่าย ควรวางหน่อให้กล้วยออกเครือไปทางกลางร่อง
4. การกำจัดหน่อ การตัดแต่ง เมื่อต้นกล้วยมีอายุได้ 4 - 6 เดือน จะเริ่มมีการแตกหน่อ หน่อที่เกิดมาเรียกว่า หน่อตาม (follower) กล้วยถ้ามีหน่อมากควรเอาหน่อออกเพื่อลดการแย่งอาหารจากต้นแม่ โดยควรเก็บหน่อไว้ 1 - 2 หน่อ เพื่อให้เป็นตัวพยุงต้นแม่เมื่อมีลมแรงและเพื่อใช้เป็นต้นพันธุ์สำหรับเก็บเกี่ยวผลผลิตในปีต่อไป วิธีการกำจัดหน่ออาจใช้เสียมที่คมหรือมีดแซะลงไป หรือใช้มีดตัดหรือคว้านหน่อที่อยู่เหนือดิน แล้วใช้น้ำมันก๊าดหรือสารกำจัดวัชพืชหยอดที่บริเวณจุดเจริญของต้น เพื่อไม่ให้มีการเจริญเป็นต้นใหม่ได้แต่ไม่ควรแซะหน่อในระหว่างการออกดอก เพราะต้นอาจกระทบกระเทือนได้ นอกจากการกำจัดหน่อแล้วควรตัดใบที่แห้งออก เพราะถ้าทิ้งไว้อาจเป็นแหล่งสะสมโรค
5.การใส่ปุ๋ยเเละบำรุงต้น
- ช่วงอายุ 1-3 เดือน ระยะพัฒนาต้น ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ประมาณ 1 กำมือต่อต้น โดยให้ปุ๋ยทุก 1 เดือนเพื่อบำรุงต้น
- ช่วงอายุ 3-5 เดือน ระยะทำปลี ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 เเละปุ๋ยเคมีสูตร 25-7-7 อย่างละ 2 กำมือต่อต้น โดยให้ปุ๋ยทุก 1 เดือน เพื่อช่วยส่งเสริมการสร้างปลี เเละบำรุงต้น
- ช่วงอายุ 5-9 เดือน ระยะพัฒนาผล ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 เเละปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 อย่างละ 2 กำมือต่อต้น โดยให้ปุ๋ยทุก 1 เดือน เพื่อพัฒนาผลเเละส่งเสริมด้านคุณภาพของผลผลิต
6.การให้น้ำ
การให้้น้ำโดยทั่วไปเกษตรกรนิยมให้น้ำผ่านระบบสปริงเกอร์ เนื่องสามารถให้น้ำได้ทั้งแปลง เเต่เเท้จริงเเล้วการให้น้ำผ่านร่องเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเพราะต้นกล้วยได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอ น้ำสามารถซึมลงไปในผิวดินได้ดีมากกว่าระบบสปริงเกอร์ เพราะอัตราการซึมของน้ำลงดินน้อยกว่าการให้น้ำผ่านท้องร่อง อีกทั้งการให้น้ำผ่านท้องร่องเป็นวิธีที่ช่วยลด อัตราการเเพร่กระจายของโรคได้ดี เเละยังทำให้ดินมีความชื้นเพียงพอต้นกล้วย เนื่องจากกล้วยเป็นพืชที่ชอบน้ำ เเต่ไม่ชอบเเฉะ ระยะเวลาการให้น้ำขึ้นอยู่กับความชื้นภายในดิน เเละสภาพภูมิอากาศหรือฤดูในช่วงนั้นด้วย
7. การค้ำยันต้น กล้วยหอมมักมีผลขนาดใหญ่เเละมีน้ำหนักมาก หากไม่ค้ำไว้ ต้นอาจล้ม ทำให้เครือหักได้ จำเป็นต้องค้ำบริเวณโคนเครือกล้วยไว้ โดยใช้ไม้ไผ่หรือไม้อื่นที่มีง่าม