หนังสือ ผีอาลัยรักและพระนักเวทย์: สมเด็จโตกับนางนากและการนับถือพระพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่
หนังสือ ผีอาลัยรักและพระนักเวทย์: สมเด็จโตกับนางนากและการนับถือพระพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่
จัสติน โธมัส แมคดาเนียล เขียน
สมหวัง แก้วสุฟอง แปล
แปลจาก The Lovelorn Ghost and the Magical Monk: Practicing Buddhism in Modern Thailand
เข้าเล่มจำนวน 480 หน้า
มีทั้งปกอ่อน และปกแข็ง ให้เลือก (ปกแข็ง พิมพ์จำนวนจำกัด)
__________________________________________________
เรื่องราวของ “สมเด็จโต” และ “แม่นาก พระโขนง” เป็นสิ่งที่แพร่หลายอยู่ในสังคมไทยมาเป็นเวลานาน อย่างน้อยที่สุดก็ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา เรื่องราวของทั้งสองยังผูกโยงกับเรื่องราวอีกมากมาย เช่น อานุภาพของพระสมเด็จ ความเป็นมาของสมเด็จโต ที่มาของชื่อเขตพระโขนง เรื่องราวของพระสงฆ์รูปหนึ่งและผีตนหนึ่ง ซึ่งเป็นเสมือนประตูบานแรกที่เปิดเข้าสู่เขาวงกตแห่งเรื่องเล่าที่ไหลเวียนแพร่หลายอยู่ในสังคมไทย
หนังสือเรื่อง ผีอาลัยรักกับพระนักเวทย์: สมเด็จโตกับนางนากและการนับถือพระพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่ ของ ดร.จัสติน แมคดาเนียล ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนด้านพุทธศาสนาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในผลงานที่หันมามองข้อมูล “นอกพุทธศาสนาแนวหลัก” ด้วยมุมมองใหม่ เสนอคำตอบใหม่ ๆ และที่สำคัญที่สุดคือพยายามเสนอคำถามใหม่ ๆ ให้แก่สังคมไทยเกี่ยวกับการนับถือ “พุทธศาสนาแบบไทย”
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ครอบคลุมข้อมูลหลากหลายประเภท ตั้งแต่คติความเชื่อและเรื่องเล่าเกี่ยวกับสมเด็จโตและนางนาก คาถาชินบัญชร การสวดพระปริตร ภาพยนตร์เกี่ยวกับนางนาก งานวัด หนังสือสวดมนต์ พระพุทธรูป พระเครื่อง หุ่นขี้ผึ้ง เป็นต้น โดยผู้เขียนมุ่งแสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาแบบไทยนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงพระไตรปิฎก การเทศนาในพระอารามหลวง หรือวรรณคดีชั้นสูง แต่ยังปรากฏอยู่ในตลาดพระเครื่อง อยู่ในศาลข้างทาง เสียงหัวเราะในงานวัด แสงสีเสียงในศาลาที่จัดแสดงร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของพระสงฆ์ผู้ทรงศีล
หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัล George McT. Kahin จากสมาคมเอเชียศึกษาในปี ค.ศ. 2013
______________________________________________
แม้สมเด็จโตและแม่นากจะเป็นที่รู้จักกว้างขวางอย่างยิ่ง แต่นักวิชาการจำนวนมากกลับมองข้ามความสำคัญของทั้งสองในการศึกษาพระพุทธศาสนาแบบไทย ในขณะที่การศึกษาพระพุทธศาสนาแบบตันตระและเต๋าในอินเดีย ทิเบต และจีนถือว่าการบำเพ็ญฤทธิ์เป็นประเด็นศึกษาอย่างหนึ่ง แต่ในการศึกษาพระพุทธศาสนาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การบำเพ็ญฤทธิ์เชิงปกปักรักษาและสร้างความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กลับถูกลดทอนให้เป็นเพียงผลของความกังวลทางสังคม ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เงื่อนไขทางวัฒนธรรม หรือเครื่องมือทางการเมือง...
ไม่ว่าเราจะแสดงภาพชาวพุทธไทยว่าเป็นเหยื่อของโลภาภิวัตน์ เหยื่อของรัฐชาติที่รวมศูนย์ หรือเป็นกบฏที่พยายามปกป้องตนเองจากวัฒนธรรมตะวันตก ผมใคร่ขอเตือนว่าวิธีการแบบนี้ได้สร้างการแบ่งแยกเหยื่อและผู้กระทำอย่างชัดเจน เป็นการมองความเป็นสมัยใหม่ด้วยนิยามอย่างแคบ เป็นการเสนอว่าพระพุทธศาสนาแบบไทยเป็นสิ่งตายตัวที่มีอยู่ในรัฐดั้งเดิมก่อนที่ความเป็นสมัยใหม่ (คือวัฒนธรรมตะวันตก) จะเข้ามาทำร้าย และมองชาวพุทธไทยสมัยใหม่ว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังของผู้สร้างชาติ
แต่ผมมองชาวพุทธไทยว่าเป็นผู้กำหนดและผู้สนับสนุนอุดมการณ์และนวัตกรรมที่มีพลวัต ชาวพุทธไทยมิได้เป็นเพียงแค่ผู้รับความเป็นสมัยใหม่อย่างศิโรราบซึ่งเลือกที่จะหาประโยชน์หรือถูกครอบงำ พวกเขาไม่เพียงตอบสนองกับความเปลี่ยนแปลงของโลกหรือความกังวลแห่งชีวิตสมัยใหม่ มีคนจำนวนมากในประเทศไทยสมัยใหม่ที่ไม่ได้รังเกียจผลกระทบด้านลบของวิชาอาคม หรือไม่ได้อ้างว่าวิถีปฏิบัติของพวกเขาเป็นของดั้งเดิม จริงแท้ หรือบริสุทธิ์
ผู้คนจำนวนมากมีทั้งที่สนับสนุนและคัดค้านบทบาทของรัฐต่อศาสนาตามแต่ละสถานการณ์ พวกเขาเจรจาต่อรอง มิได้รับเอายุคสมัยใหม่อย่างมืดบอด ผู้คนเหล่านี้เช่นกลุ่มคนที่นับถือแม่นาก ต่างตอบสนองและปรับตัวตามยุคสมัยอย่างมีพลวัต มากกว่าจะเป็นเพียงผู้ถูกกดขี่หรือเป็นเหยื่อแห่งความเป็นสมัยใหม่ นักวิชาการและชาวพุทธจำนวนมากในสังคมไทยสมัยใหม่ต่างทำงานเพื่อสังคมไปพร้อมกับอุทิศตนแก่ชีวิตแบบสมณะ คนจำนวนมากเป็นนักเรียนบาลีไปพร้อม ๆ กับเป็นผู้ฝึกฝนอาคมไปด้วย
-จัสติน โธมัส แมคดาเนียล